ตู้เย็นไม่เย็นเกิดจากอะไร พร้อม 10 วิธีแก้ไขตู้เย็นไม่เย็น

1. ปัญหาระบบไฟฟ้า

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ตู้เย็นไม่เย็นนั้นเกิดจากระบบไฟฟ้าภายในบ้าน เช่น ปลั๊กไฟหลวม หรือฟิวส์ขาด ทำให้ไม่มีการจ่ายไฟให้ตู้เย็น

2. ใส่ของเยอะเกินไป

เป็นปัญหาประจำสำหรับบ้านสมาชิกเยอะ หรือชอบซื้อของเข้าบ้านครั้งละมากๆ แต่ถ้าใส่ของเยอะเกินไป ก็ทำให้เกิดปัญหาตู้เย็นไม่เย็นได้เช่นกัน เพราะปริมาณของที่มากจนเกินไปนั้น จะไปขวางการไหลเวียนความเย็นภายในตู้เย็น ทำให้ตู้เย็นไม่สามารถกระจายความเย็นได้อย่างทั่วถึง ส่งผลทำให้ตู้เย็นทำงานหนักขึ้น จนเสื่อมสภาพได้เร็วกว่าที่ควรจะเป็น

3. ไม่ค่อยทำความสะอาด

เพราะตู้เย็นเป็นเครื่องใช้สำหรับแช่อาหารที่เราต้องรับประทาน ดังนั้นควรหมั่นทำความสะอาดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเชื้อรา ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ นอกจากนี้การที่ไม่ค่อยทำความสะอาดตู้เย็นยังทำให้อาหารเก่า ๆ ยังคงค้างอยู่ในตู้เย็น และเกิดการเน่าเสีย ซึ่งทำให้ตู้เย็นทำงานหนัก และเกิดปัญหาตู้เย็นไม่เย็นได้

4. ปรับอุณหภูมิไม่พอเหมาะ

ตู้เย็นมีระดับอุณหภูมิให้สามารถปรับได้ตามความเหมาะสมกับปริมาณของภายใน ควรหมั่นตรวจสอบว่าตอนนี้เรามีจำนวนของในตู้เย็นเยอะหรือน้อยแค่ไหน หากมีจำนวนของที่เยอะขึ้นควรปรับอุณหภูมิตาม เพื่อให้ความเย็นกระจายได้อย่างทั่วถึง เพื่อประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีของตู้เย็น

5. นำของร้อนใส่ทันที

อีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่ทำให้ตู้เย็นไม่เย็นคือ การนำของร้อนใส่ตู้เย็นทันที โดยที่ไม่รอให้เย็นเสียก่อน เมื่อนำของร้อนจัดใส่ตู้เย็น ตู้เย็นจะทำงานหนักขึ้น เพื่อพยายามให้อาหารที่ใส่ไปนั้นอยู่ในอุณหภูมิที่เท่า ๆ กัน เพื่อรักษาคุณภาพของอาหาร ทำให้ตู้เย็นทำงานหนักโดยไม่จำเป็น จนเกิดการเสื่อมสภาพ และทำความเย็นได้ไม่เหมือนเดิมนั่นเอง

6. คอมเพรสเซอร์เสีย

คอมเพรสเซอร์มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเย็นให้ภายในตู้เย็น โดยทำหน้าที่อัดและดูดสารทำความเย็นให้หมุนเวียนอยู่ภายในตู้เย็น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนสถานะของสารทำความเย็น และปล่อยความร้อนออกสู่ภายนอก ทำให้ภายในตู้เย็นมีความเย็นลง แต่หากคอมเพรสเซอร์เกิดปัญหาเสียขึ้นมา ตู้เย็นก็จะไม่เย็น หรือทำความเย็นได้ไม่เต็มประสิทธิภาพนั่นเอง

7. คอยล์เย็นเสีย

คอยล์เย็นในตู้เย็นนั้นมีหน้าที่หลัก ๆ คือ ดูดซับความร้อนจากภายในตู้เย็นและส่งต่อไปยังคอมเพรสเซอร์ เพื่อระบายออก เมื่อเกิดปัญหาคอยล์เย็นเสีย จะทำให้ตู้เย็นไม่สามารถดูดซับความร้อนได้ ส่งผลให้เกิดปัญหาตู้เย็นไม่เย็นได้

8. เซนเซอร์อุณหภูมิผิดปกติ

ตู้เย็นทุก ๆ ตู้จะมีเซนเซอร์ที่ทำหน้าที่ในการตรวจจับความเย็นภายในตู้ เพื่อคอยควบคุมอุณหภูมิให้มีความเย็นอย่างสม่ำเสมอ เท่า ๆ กัน แต่หากเซนเซอร์อุณหภูมิตู้เย็นทำงานผิดปกติก็จะทำให้ไม่สามารถตรวจจับอุณหภูมิได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนทำให้เกิดปัญหาตู้เย็นไม่เย็น หรือบางครั้งก็อาจทำให้ตู้เย็นเย็นเกินไปได้เช่นกัน

9. ขอบยางตู้เย็นเสื่อม

ขอบยางตู้เย็นเป็นชิ้นส่วนที่ช่วยให้สามารถปิดตู้เย็นได้สนิท ไม่ทำให้ความเย็นไหลออกนอกตู้เย็นได้ แต่เมื่อไรก็ตามที่ขอบยางตู้เย็นเสื่อมก็จะทำให้อุณหภูมิภายในตู้เย็นนั้นไม่คงที่ ซึ่งโดยปกติแล้วขอบยางตู้เย็นจะมีอายุการใช้งานประมาณ 5-10 ปี ดังนั้นควรหมั่นตรวจสอบอยู่เสมอว่า ขอบยางตู้เย็นยังสามารถทำงานได้ดีอยู่หรือไม่ เพื่อช่วยป้องกันการเกิดปัญหาตู้เย็นไม่เย็น

10. เปิดประตูตู้เย็นทิ้งไว้

หากบ้านไหนที่มีพฤติกรรมชอบเปิดประตูตู้เย็นบ่อย ๆ หรือชอบเผลอเปิดทิ้งไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ ก็จะทำให้ตู้เย็นไม่เย็นได้ เพราะไอความเย็นจะไหลออกจากตู้เย็น ส่งผลให้ตู้เย็นทำงานหนักขึ้น เพื่อพยายามควบคุมอุณหภูมิให้มีความคงที่

1. จัดตู้เย็นให้เป็นระเบียบ

ปัญหาตัวท็อปของตู้เย็นไม่เย็นคือ การวางของในปริมาณที่มากกว่าที่ความเย็นจะสามารถกระจายได้อย่างทั่วถึง ดังนั้นควรมีการจัดตู้เย็นให้เป็นระเบียบ ไม่วางของเกะกะ หรือเยอะเกินไป เพื่อยืดอายุการใช้งานของตู้เย็น ให้สามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน

2. ละลายน้ำแข็ง

“เราต้องละลายน้ำแข็งตู้เย็นบ่อยแค่ไหน?”

การละลายน้ำแข็งในตู้เย็นนั้น โดยปกติแล้วควรละลายน้ำแข็งทุก ๆ เดือน อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง หรือให้สังเกตจากปุ่มสีแดงข้างช่องแช่แข็ง หากน้ำแข็งเกาะปุ่มจนหนา แสดงว่าควรละลายน้ำแข็งได้แล้ว แต่ตู้เย็นรุ่นใหม่ๆ มักจะมีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ (No Frost) ในตัว โดยมักอยู่ในตู้เย็นหลายประตู ทั้ง Multi door และ Side-by-side ทำให้ไม่มีน้ำแข็งเกาะแต่ราคาจะสูงกว่ารุ่นที่ต้องกดละลายน้ำแข็ง

3. ตรวจสอบขอบยางตู้เย็นเสมอ

โดยทั่วไปแล้วขอบยางตู้เย็นจะมีอายุการใช้งานประมาณ 5-10 ปี เมื่อถึงเวลาก็ควรตรวจสอบ เพื่อให้แน่ใจว่าขอบยางตู้เย็นยังสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เสื่อมสภาพ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในวิธีในการดูแลตู้เย็นแบบง่าย ๆ ด้วยตัวเอง

4. แบ่งช่องจัดของ

ตู้เย็นนั้นมีการแบ่งพื้นที่ต่าง ๆ ภายในห้องอย่างเหมาะสม โดยพื้นที่ข้างตู้เป็นช่องสำหรับแช่ขวดน้ำ ช่องแช่ผัก ช่องสำหรับเนื้อสัตว์ และช่องฟรีซ ดังนั้นการแบ่งช่องจัดของให้มีความเหมาะสม แช่ของให้ถูกต้องก็จะช่วยทำให้ของมีความสด อีกทั้งยังช่วยให้ตู้เย็นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้งานได้นานขึ้นอีกด้วย

5. ปรับอุณหภูมิให้พอเหมาะ

อีกหนึ่งวิธีแสนง่ายที่ช่วยดูแลรักษาตู้เย็นให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพคือ การปรับอุณหภูมิให้มีความเหมาะสม โดยปรับให้ระดับความเย็นนั้นอยู่ในช่วงกึ่งกลางของระดับตู้เย็น

6. ทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ

ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ใด ๆ ก็ตามควรหมั่นทำความสะอาดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดคราบสกปรกสะสมจนก่อตัวเป็นเชื้อโรค โดยเฉพาะตู้เย็น ซึ่งเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้แช่อาหาร หากเกิดคราบสกปรก หรือเกิดเชื้อรา อาจทำให้อาหารเกิดการปนเปื้อน หรือทำให้เชื้อราเจริญเติบโตบนอาหาร จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราได้นั่นเอง

7. ตั้งตู้เย็นให้เหมาะสม

การตั้งตู้เย็นนั้นต้องมีการจัดวางให้มีความเหมาะสม ซึ่งระยะห่างที่เหมาะสมในการวางตู้เย็นนั้นขึ้นอยู่กับขนาดและรุ่นของตู้เย็น แต่โดยทั่วไปแล้วควรเลือกตั้งบนพื้นที่มีความเสมอกัน โดยเว้นระยะห่างจากผนังด้านข้างไม่น้อยกว่า 5 เซนติเมตร ด้านหลังไม่น้อยกว่า 10 เซนติเมตร ส่วนด้านบนควรปล่อยว่างไว้ ไม่วางของหนัก ๆ เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้สามารถใช้ตู้เย็นได้อย่างยาวนานแล้ว

8. เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งาน

หลาย ๆ ครั้งสาเหตุที่ทำให้ตู้เย็นเกิดปัญหาก็มาจากพฤติกรรมการใช้ตู้เย็นแบบผิด ๆ นั่นเอง ดังนั้นการที่ผู้ใช้งานปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ไม่นำอาหารร้อนใส่ตู้เย็นในทันที ไม่เปิดตู้เย็นค้างไว้ หรือไม่ใส่ของเยอะเกินไปก็จะช่วยให้ตู้เย็นทำงานได้อย่างปกติ ไม่เสื่อมสภาพได้เร็ว

9. เมื่อไฟตกต้องถอดปลั๊กไฟ

เมื่อสังเกตเห็นว่าไฟตู้เย็นติด ๆ ดับ ๆ หรือเสียงของมอเตอร์หยุดทำงาน อาจมีสาเหตุมาจากไฟตก ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดจากแรงดันไฟฟ้าที่จ่ายมาต่ำกว่าที่กำหนดไว้ ซึ่งอาจทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชนิดเสียหายได้ รวมถึงตู้เย็นด้วยเช่นกัน เมื่อสังเกตเห็นว่าไฟตกจึงควรถอดปลั๊กตู้เย็นออกก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้มอเตอร์เกิดความเสียหาย

10. แยกแผงไฟตู้เย็น

สำหรับวิธีสุดท้ายที่ช่วยดูแลรักษาตู้เย็นง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองคือการแยกวงจรของตู้เย็น ออกจากแผงไฟบ้านอื่น ๆ เพราะช่วยให้แผงวงจรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยาวนานขึ้น อีกทั้งยังช่วยป้องกันไฟช็อตและอันตรายจากไฟฟ้ารั่วอีกด้วย

1. ทำความสะอาดเป็นประจำ

วิธีทำความสะอาดตู้เย็นจะต้องถอดปลั๊กออกก่อนเสมอ พร้อมทั้งใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดเช็ดให้ทั่วบริเวณ ทั้งภายนอก และภายในตู้เย็น หากบริเวณใดที่มีคราบฝังแน่น ให้ใช้เบกกิ้งโซดาผสมกับน้ำเล็กน้อย พรมทิ้งไว้ แล้วใช้แปรงขัดเบา ๆ เพียงเท่านี้ก็ทำให้ตู้เย็นสะอาดแล้ว

2. หมั่นเคลียร์ตู้เย็นเสมอ

หลาย ๆ คนเมื่อนำอาหาร ผัก หรือผลไม้แช่ในตู้เย็นแล้วก็มักจะลืมว่ามีอะไรในตู้เย็นบ้าง ทำให้อาหารเน่าเสีย และเกิดคราบสกปรกได้อีกด้วย ดังนั้นควรหมั่นเคลียร์ตู้เย็นทุกเดือน โดยเริ่มต้นจากการเอาของทุกอย่างออกจากตู้เย็น ทิ้งอาหารที่หมดอายุ หรืออาหารที่ขึ้นรา ก็จะช่วยให้ตู้เย็นของคุณสะอาดขึ้น มีความเป็นระเบียบ ไม่เกิดการปนเปื้อน อีกทั้งสามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล

3. ละลายน้ำแข็งเสมอ

เพื่อลดภาระตู้เย็นทำงานหนักและกินไฟ รวมถึงอุณหภูมิภายในตู้เย็นไม่สม่ำเสมอ ส่งผลต่ออาหารที่เก็บไว้ อีกทั้งหากน้ำแข็งมีความหนามาก ๆ ยังทำให้ปิดตู้เย็นได้ไม่สนิทอีกด้วย

4. กำจัดกลิ่นเหม็น

เมื่อเกิดปัญหาตู้เย็นไม่เย็น อาหารก็จะเน่าเสียได้ง่าย ซึ่งตามมาด้วยกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ที่ถึงแม้ว่าจะกำจัดอาหารที่หมดอายุ และเน่าเสียออกไปแล้ว ก็อาจจะยังทำให้กลิ่นติดตู้เย็นไม่หาย ซึ่งสามารถทำได้โดยใช้ถ่านไม้ หรือกากกาแฟวางในตู้เย็น เพื่อดูดซับกลิ่นเหม็น ช่วยให้ตู้เย็นไร้กลิ่นเหม็นได้

5. ดูแลขอบยางตู้เย็น

หมั่นตรวจเช็กขอบยางของตู้เย็นว่าอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานหรือไม่ ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแล้วหรือยัง เพื่อช่วยให้ตู้เย็นปิดได้สนิท ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ